ถัาหยุดกินยาก็จะหยุดได้หลายโรค

ถ้าหยุดกินยาได้ ก็จะหยุดได้หลายโรค !?

โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

เมื่อหลายปีก่อนในขณะที่ผมพยายามจะหาทางรักษาโรคไมเกรนโดยไม่ต้องใช้ยา (เพราะกินยาแรงมาหลายปีจนเริ่มมีผลต่อตับ) ทั้งการฝังเข็ม นวดกดจุด ฯลฯ แต่ก็ไม่ได้หายขาดจากอาการดังกล่าว

ผมจึงได้ไปตรวจเม็ดเลือดอย่างละเอียดแล้วพบว่ามีอาหาร 18 ชนิดที่ไม่เหมาะกับเม็ดเลือดของผมเอง เพราะทำให้เม็ดเลือดผิดรูปร่าง (ไม่ใช่ตรวจแค่ว่าเราเป็นภูมิแพ้กับอาหารอะไร หรือจะรู้ว่าอาหารชนิดไหนทำให้เกิดไมเกรน) แล้วก็พบว่าอาหารที่ไม่เหมาะกับเม็ดเลือดของผม อันดับ 1 คือ แป้งไรย์ อันดับ 2 คือนมวัวเป็นอาหารนอกจากนี้ยังพบว่า โปรตีนจากนมวัว และไข่ขาวก็ไม่เหมาะกับเม็ดเลือดผมเองอีกด้วย ฯลฯ ทำให้เมื่อ 3-4 ปีก่อนผมต้องงดอาหารหลายชนิด อาหารฝรั่งเกือบทุกชนิด (รวมถึงขนมปังและเค้กด้วย) ผลปรากฏว่าอาการไมเกรนผมดีขึ้นมาก ลดยาไปเป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังไม่สามารถหายขาดจากโรคนี้ได้ทีเดียวนัก

ผมได้สอบถามกับแพทย์ที่ตรวจเลือดผมเพื่อดูความสอดคล้องกับอาหารกับเม็ดเลือดของคนไทย แพทย์ผู้ตรวจได้บอกว่าสถิติที่ตรวจเม็ดเลือดของคนไทยส่วนใหญ่เท่าที่เคยตรวจมาไม่เหมาะกับการดื่มนมวัว

แทบไม่น่าเชื่อว่าอาหารที่ไม่ควรรับประทาน 17 ชนิด จาก 18 ชนิดนั้นถูกจัดอยู่ในประเภทอาหารฤทธิ์ร้อน ตามคำจำกัดความของ “หมอเขียว” นายใจเพชร กล้าจน ผมจึงได้เรียนรู้ว่าอาหาร ฤทธิ์ร้อนในเมืองไทย (ซึ่งมีภูมิอากาศร้อน)จะต้องรับประทานอย่างระมัดระวัง และควรรับประทานอาหารให้เกิดความสมดุลร้อนเย็นต่อร่างกายกับภูมิภาคและภูมิ อากาศที่เราอาศัยอยู่ด้วยจึงจะเหมาะสมที่สุด

ต่อมาผมได้ศึกษาแนวทางธรรมชาติบำบัดของนักธรรมชาติบำบัดจากอินเดียที่ได้มาบรรยายในไทยคนหนึ่งชื่อ หมอเจคอบ วาทักกันเชรี จึงพบว่ามนุษย์เราส่วนใหญ่ที่เป็นโรคนั้นมาจากการรับประทานอาหารเนื้อสัตว์ และโรคภูมิแพ้ของมนุษย์ส่วนหนึ่งมาจากการคลอดที่ได้จากการผ่าตัด อีกส่วนหนึ่งคือการดื่มนมวัวตั้งแต่เด็ก (หรือคุณแม่ดื่มนมวัวก่อนคลอดเป็นประจำ)  ส่วน โรคไมเกรนและไซนัสเกิดขึ้นจากการรับประทานยาพวกแก้หวัด เช่น ยาลดน้ำมูกและยาแก้แพ้ ตลอดจนยาแก้อักเสบต่อเนื่องมาเป็นเวลานานหลายปี อีกทั้งยังได้มีการระบุด้วยว่าการมีไข้เป็นกลไกที่มีประโยชน์ต่อการรักษาโรคของมนุษย์แต่เราผิดพลาดที่เราไปกินยาลดไข้ทุกครั้งที่เป็นไข้

และความจริงก็เป็นเช่นนั้นเพราะผมเป็นโรคหวัดเป็นประจำ และตามความรู้ที่เรารับทราบมาตั้งแต่เด็กจนโตว่า เมื่อเป็นหวัดเราก็ต้องทานยาลดไข้ ทานยาลดน้ำมูก และทานยาแก้อักเสบ (ตามสูตร) ถ้ามีเสมหะก็ทานยาทำให้เสมหะแห้งลง หากหายใจไม่สะดวกเป็นโรคหอบหืดก็สูดยาขยายหลอดลมหรือพ่นยาแก้อักเสบ โดยไม่เคยรู้ว่ายาพวกนี้ก่อให้เกิดผลตามมาเป็นลูกโซ่ต่อร่างกายของผมเอง ทั้งโรคไมเกรน รวมถึงตับทำงานแย่ลงเพราะน้ำตาลในเลือดเริ่มสูงขึ้น

ในแนวทางธรรมชาติบำบัดของหมอเจคอบ วาทักกันเชรี จึงคาดการณ์ต่อได้ว่าหลังจากที่เราน้ำตาลเริ่มสูงขึ้น (เพราะกลไกของตับอ่อนทำงานแย่ลงจากการกินยามาก) หากยังรับประทานยาสูตรแก้หวัดต่อไป หรือต่อไปหลังจากนั้นรับประทานยาแก้โรคเบาหวาน พอสักระยะหนึ่งก็จะส่งผลตามมาให้เราเป็นโรคความดันโลหิตสูง และเมื่อรับประทานยาแก้ความดันโลหิตสูงในขั้นต่อไปเราก็จะต้องเริ่มมาเป็น โรคหัวใจ เพราะรับประทานยาเกี่ยวกับหัวใจก็จะส่งผลกระทบต่อตับและไตต่อมากระทบเป็นลูก โซ่   โดยเฉพาะยาลดน้ำมูก ยาลดไข้ และยาปฏิชีวนะ และยาเคมีแทบทุกชนิดมีผลต่อการทำงานของตับให้เสื่อมลง    และถ้าตับทำงานเสื่อมลงก็แปลว่าภูมิต้านทานเราย่อมลดลงไปด้วย ดังนั้นมนุษย์เราพร้อมจะเกิดโรคได้ทุกชนิดถ้าเพียงแต่ “ตับเสื่อมสภาพลง”

ดังนั้นตามสูตรที่เราถูกสั่งสอนกันมาเมื่อเราอายุมากขึ้นก็จะต้องกิน ยาเพิ่มมากขึ้น จนบางคนรับประทานยาเต็มกำมือต่อ 1 มื้อ กลุ่มคนที่รวยที่สุดก็คือบรรษัทยาที่สอนให้เรากินยาแบบนี้ตั้งแต่เด็ก จริงหรือไม่?

ด้วยเหตุผลนี้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานตัวเลขปริมาณการใช้ยาของคนไทย พบว่าคนไทยใช้ยามากถึงกว่า 4.7 หมื่นล้านเม็ด หรือวันละ 128 ล้านเม็ด หรือเฉลี่ยคนไทยรับประทานยาวันละ 2 เม็ดทุกวัน

และยังพบว่ามีการใช้ยาปฏิชีวนะ มากที่สุดเป็นอันดับ 1 มูลค่าประมาณ 18-20% ของยาทั้งหมด และบางครั้งเป็นการใช้ยาที่ไม่มีความจำเป็น เช่น ใช้รักษาอาการไข้หวัดที่เกิดจากไวรัส และท้องเสียที่เกิดจากอาหารเป็นพิษ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่ายาอันดับ 1 ของคนไทยที่บริโภคเมื่อ 10 ปีที่แล้วเป็นยาลดไข้ แต่ตอนนี้กลายยาปฏิชีวนะได้แซงขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว

ในรอบ 10 ปีระหว่างปี 2542 ถึง ปี 2551 ที่ผ่านมา พบว่าค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศไทยมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ 32 ของรายจ่ายด้านสุขภาพทั้งหมดในปี 2542 เพิ่มเป็นร้อยละ 46 ในปี 2551 คิดเป็นมูลค่าการขายปลีกสูงถึงประมาณ 2.7 แสนล้านบาท หรือมูลค่าการขายส่ง 1.5 แสนล้านบาท โดย 2 ใน 3 เป็นยานำเข้าจากต่างประเทศ

หมายความว่าคนรุ่นนี้หากยังไม่ตระหนักในการใช้ยาจะต้องมีการใช้ยาลูก โซ่มากเพิ่มขึ้นไปอีกในอัตราเร่งอย่างมหาศาลเมื่อเวลาผ่านไปอีก 10- 20 ปีข้างหน้า !!! 

ผมเริ่มศึกษาการเทียบเคียงในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์แผนปัจจุบันมากขึ้นจึงได้พบงานวิจัยทางการแพทย์ของต่างประเทศเมื่อปี พ.ศ. 2549 ของ Carven, R and Hirnle, ในหนังสือ พื้นฐานของการรักษาพยาบาล, ในหัวข้อสุขภาพและกลไกของมนุษย์ พบว่า…….

การมีไข้เป็นกลไกในร่างกายมีผล 5 ประการคือ

  1. ทำให้จุลชีพที่เป็นพิษในร่างกายเราลดลง (Endotoxin)
  2. ทำให้การเคลื่อนที่ของเม็ดเลือดขาวเร็วขึ้น
  3. สนับสนุนเม็ดเลือดขาวในการกลืนกินเชื้อโรคที่เป็นพิษ
  4. เพิ่มการแบ่งตัวของที-เซลล์ (T-Cells) ซึ่งเป็นเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันชนิด Lymphocyte
  5. สนับสนุนการทำงานของสารอินเตอร์เฟอรอน (interferon) 

    จากงานวิจัยข้างต้นเป็นที่ยอมรับกันในวงการแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านภูมิคุ้มกันว่า…กลไกการเกิดไข้มีประโยชน์ต่อร่างกาย และกลไกร่างกายของมนุษย์มีความฉลาดและสลับซับซ้อนมากในการรักษาโรคตัวเอง

    ผมเริ่มศึกษาการมีน้ำมูกของร่างกาย ที่เกิดขึ้นเพราะร่างกายต้องการผลิตน้ำมูกออกมาเพื่อดักจับจุลชีพที่เป็นพิษที่เข้ามาในร่างกาย (ทั้งไวรัสและแบคทีเรีย) ดังนั้นการที่ร่างกายจามเอาน้ำมูกออกมา หรือเกิดอาการน้ำมูกไหลจึงเป็นกลไกการเอาเชื้อโรคที่เป็นพิษออกจากร่างกายตามธรรมชาติ

แต่ลองคิดดูว่ามนุษย์เมื่อเป็นไข้หวัดและมีไข้ เราถูกสอนให้กินยาลดไข้ทันที ผลก็คือร่างกายเราไม่ได้เปลี่ยนสภาวะแวดล้อมทางอุณหภูมิให้สอดคล้องกับการทำ งานของเม็ดเลือดขาว    ในขณะเดียวกันพอมีน้ำมูกเราก็ถูกสอนว่าต้องกินยาลดน้ำมูกแทนการเอาน้ำมูก ออกให้มากที่สุด ทำให้จุลชีพที่เป็นพิษจึงเข้าไปในร่างกายเราได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม จุลชีพที่เป็นพิษอยู่เมื่อค้างเอาไว้ในโพรงจมูกก็จะก่อให้เกิดโรคไซนัสหรือ ไมเกรนตามมา    ผลก็คือเมื่อร่างกายพึ่งพาภูมิคุ้มกันในร่างกายของตัวเองไม่ได้ (เพราะเราใช้ยาสกัดกดปลายอาการทั้งหมด) ทำให้เราต้องอาศัยและพึ่งพายาปฏิชีวนะซึ่งจัดการฆ่าทั้งแบคทีเรียทั้งดีและไม่ดีในร่างกายเราอย่างต่อเนื่อง

เมื่อรับประทานยาปฏิชีวนะไปนานมากขึ้นเป็นประจำ…….เชื้อโรคเหล่านั้นก็จะ เรียนรู้กลายพันธุ์ต่อสู้กับยาปฏิชีวนะ จนทุกวันนี้เราต้องกินยาที่แรงขึ้น แพงขึ้น แถมเมื่อเวลาผ่านไปนานมากขึ้นก็จะได้กินยาลูกโซ่ต่อๆมาอีกด้วย ยังไม่นับที่คนไทยส่วนใหญ่กินยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าแบคทีเรียทั้งๆที่เป็นการ ติดเชื้อหวัดจากไวรัสอีกจำนวนมาก

ขณะที่เราเป็นหวัดนั้นหลายครั้งปากเราจะขม และไม่อยากกินอาหารอะไร แต่เราก็มักจะถูกสอนว่าให้เราต้องพยายามกินเพื่อจะได้เอาชนะโรค แต่ใน ทางธรรมชาติบำบัดกลับคิดตรงกันข้ามว่าช่วงเวลาที่ป่วยนั้นร่างกายไม่ต้องการ ใช้พลังงานส่วนใหญ่กับการย่อยอาหาร แต่ต้องการใช้พลังงานในการจัดการกับเชื้อโรคในร่างกาย ซึ่งหากเป็นหวัดก็ต้องการใช้พลังงานส่วนใหญ่กับการผลิตความร้อนเพื่อเอาชนะโรคหวัดในร่างกาย ดังนั้นช่วงเวลาดังกล่าวจึงควรงดการย่อยอาหารมากกว่าที่จะกินอาหารเป็นจำนวนมาก
และหากจะรับประทานอาหารอะไรช่วงเวลานั้น ก็ควรจะเป็นอาหารที่ย่อยง่ายและมีวิตามินซีตามธรรมชาติ และจะให้สังเกตสักหน่อยก็ให้ดูว่าเราเป็นไข้หวัดจากอากาศร้อนหรือเย็น ถ้าเป็นหวัดในช่วงฤดูร้อน อดนอน เครียด ให้ใช้น้ำปั่นผักหรือผลไม้จากฤทธิ์เย็น เช่น น้ำแอปเปิ้ลเขียวสด, น้ำมะนาว, น้ำคลอโรฟิลล์ที่ได้จากสมุนไพรฤทธิ์เย็น เช่น ใบย่านาง, ฟ้าทะลายโจร, ใบบัวบก ฯลฯ แต่ถ้าเป็นไข้หวัดจากโดนเป่าเครื่องปรับอากาศ หรือเป็นหวัดจากอากาศหนาว ก็อาจจะต้องทำตรงกันข้ามในการรับประทานอาหารฤทธิ์ร้อน เช่น องุ่น สละ น้ำส้มเขียวหวาน น้ำตะไคร้อุ่น, น้ำขิง, ซุปหัวหอม ฯลฯ
และถ้าเรารู้จักกลไกลเหล่านี้ก็จะพบว่าเราสามารถจัดการกับโรคหวัดได้โดยไม่ต้องใช้ยา คือ เมื่อเป็นหวัดให้งดยาลดไข้ และปล่อยให้ไข้ขึ้นตามสมควร (ถ้ากลัวการช็อกให้วัดอุณหภูมิไม่เกิน 40.5 องศาเซลเซียสแล้วจึงเช็ดตัวหรือดื่มน้ำผักหรือผลไม้ฤทธิ์เย็นเพื่อปรับ อุณหภูมิให้เย็นลง) ให้น้ำมูกออกให้มาก ห่มผ้านอนให้อุ่น ดื่มน้ำผลไม้ที่มีวิตามิซีสูง งดอาหารที่ย่อยยาก เราสามารถหายจากไข้หวัดได้โดยไม่ต้องใช้ยาเลย และข้อสำคัญหายได้เร็วกว่าการใช้ยาเคมีด้วย ผมได้ทดลองเช่นนี้กับคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ตั้งแต่ต้นปีมาพบว่าหวัดทุกรอบสามารถหายได้ในเวลาไม่เกิน 1 วันครึ่งทุกรอบ (จากเดิมที่ต้องใช้เวลา 3- 5 วัน หรืออาจใช้เวลา 7-10 สำหรับการกินยาปฏิชีวนะตามที่แพทย์กำหนดเป็นอย่างน้อย)และระยะการเป็นหวัด ทิ้งห่างกันมากกว่าแต่ก่อนมาก

ผลถัดมาตามแนวทางนี้ตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา ทำให้ผมนอกจากจะสามารถหายหวัดได้เร็วและไม่ต้องใช้ยาแล้ว ยังหายจากโรคหอบหืด โรคไมเกรน น้ำตาลในเลือดลดลง อีกด้วย จึงถือเป็นปีที่ไม่มีการใช้ยาเคมีแม้แต่เม็ดเดียวเข้าสู่ร่างกายผมเป็นปีแรก และไม่มีอาการเหล่านี้หลงเหลืออยู่เลย จึงทำให้คิดแต่ว่าเราโง่มาหลายสิบปีที่ตกเป็นทาสของสูตรยาเคมี ทั้งๆที่ร่างกายเรามีกลไกในร่างกายที่เรารักษาตัวเราเองได้จริง

แนวทางธรรมชาติบำบัดต่างจากการใช้ยาเคมีในยุคแพทย์แผนปัจจุบันตรงที่ว่า ธรรมชาติบำบัดมองอาการไข้ การไอ จาม น้ำมูกไหล ท้องร่วง หรือการเกิดผื่นคัน หรือ ฝี เป็น “กลไกการระบายพิษออกจากร่างกาย” ที่ส่วนใหญ่มาจากสาเหตุภายในของร่างกาย    ในขณะที่ยาเคมีบำบัดมอง “ปลายอาการโรคเหล่านี้เป็นปัญหา” จึงต้องหยุดอาการ ที่แสดงออกเหล่านี้ด้วยยาเคมี หรือบางกรณีอาจไปจัดการเชื้อโรคเหล่านั้นด้วยยาเคมีอีกชนิดหนึ่ง เพียงแต่ผลข้างเคียงของยาชนิดหนึ่งก็จะไปก่อให้เกิดโรคอีกหลายชนิดตามมาแน่ นอน

ด้วยเหตุผลนี้แพทย์แผนตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นแพทย์แผนจีน หรือ แพทย์แผนอินเดีย หรือ แพทย์แผนไทย มักจะเน้นการใช้ยาสมุนไพรพื้นบ้านในการขับถ่าย เพื่อให้เกิดกระบวนการขับพิษให้ระบายออกจากร่างกายให้มาก หรือ หลักสูตรสุขภาพของชาวสันติอโศก (ไม่ว่าหลักสูตรหมอเขียว หรือ หลักสูตรล้างพิษตับของ อ.แก่นฟ้า อ.ขวัญดิน) ก็จะส่งเสริมการดีท็อกซ์สวนล้างลำไส้ หรือการล้างพิษออกจากตับหรือถุงน้ำดีเพื่อให้กลไกในการสร้างภูมิต้านทานกลับ มาทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งหลักคิดนี้จะเป็นคนละทางกับแพทย์แผนปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม แล้วแต่การปฏิรูปสุขภาพ จะเป็นส่วนหนึ่งต่อการปฏิรูปประเทศไทยอย่างแน่นอน เพราะและหากปฏิรูปสุขภาพคนไทยได้สำเร็จ ก็จะส่งผลต่อวิธีคิดเกี่ยวกับร่างกายและจิตใจตามไปด้วย สิ่งที่จะได้ตามมาต่อระบบเศรษฐกิจก็ย่อมทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล ทั้งเกษตรกรรม และอุตสาหกรรม และการแพทย์ เพื่อให้สังคมไทยเกิดการพึ่งพาตัวเองให้มากขึ้นในที่สุด